Home brandmg MG เปิดตัว ยนตรกรรม Plug-in Hybrid “NEW MG HS PHEV” ค่าตัว 1.359 ล้าน

MG เปิดตัว ยนตรกรรม Plug-in Hybrid “NEW MG HS PHEV” ค่าตัว 1.359 ล้าน

by Gotz
1504 views

บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเปิดตัว NEW MG HS PHEV ชูแนวคิด “REFINEMENT” พร้อมขับเคลื่อนทุกคุณค่าของชีวิต โดยสะท้อนถึงความเหนือระดับ ทั้งความหรูหรา ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และการแนะนำเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้พละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion แบบโมดูล ขนาดใหญ่ 16.6 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ทำให้สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV Mode) ได้ไกลถึง 67 กิโลเมตร โดยจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่โชว์รูม และศูนย์บริการเอ็มจีทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2563 นี้

NEW MG HS PHEV เป็นโมเดลรุ่นล่าสุด โดยมาพร้อมแนวคิด “REFINEMENT” ซึ่งต่อยอดความโดดเด่นจาก MG HS  โดยการเพิ่มความเหนือระดับ ทั้งในเรื่องของสมรรถนะที่เป็นเยี่ยมจากเทคโนโลยีขั้นสูงของระบบ Plug-in Hybrid พร้อมการออกแบบที่สวยงามลงตัวและการติดตั้งระบบอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยครบครัน เพื่อให้เป็นรถที่เหมาะสมและคู่ควรกับผู้ที่ต้องการความหรูหราเหนือระดับและเทคโนโลยีขั้นสูง

NEW MG HS PHEV ขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid มีพละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร จากขุมพลังของเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร มีระบบเกียร์แบบ EDU II – 10 Speeds ที่ใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์เพียง 0.2 วินาที ตอบสนองได้อย่างทันใจ และเพิ่มความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ภายในเวลา 7.5 วินาที มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco โหมด EV และโหมด Sport เสริมด้วยปุ่ม Super Sport ที่สามารถเพิ่มประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น และสามารถเลือกขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้ไกลสูงสุดถึง 67 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

แบตเตอรี่ใน NEW MG HS PHEV เป็นแบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่ขั้นสูง โดยมีขนาดใหญ่ถึง 16.6 kWh ทำให้มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการสะสมพลังงานได้มากกว่าจึงวิ่งได้นานขึ้น รวมถึงการทำระยะทางได้มากขึ้น โดยสามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% สูงสุดถึง 67 กิโลเมตร/การชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีการใช้เทคโนโลยีในมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hairpin Design ทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถดึงสมรรถนะของการส่งกำลังและลดอัตราการสูญเสียพลังงานได้ดียิ่งขึ้น พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Coolant ซึ่งดีกว่าระบบระบายความร้อนแบบปกติ ทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเพิ่มความมั่นใจและปลอดภัยในการขับขี่ด้วยแบตเตอรี่ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก AMERICAN UL2580 และผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น

NEW MG HS PHEV มาพร้อมระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ที่สามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) โดยเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ และด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ทำให้ HS PHEV มีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดอยู่ที่ 65 กิโลเมตรต่อลิตร* และมีการปล่อยค่าไอเสีย หรือคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 36 กรัมต่อกิโลเมตร 
*อ้างอิงข้อมูลจาก Eco Sticker*

นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยเหนือระดับมาตรฐานยุโรป หรือ Advanced Synchronized Protection System มากถึง 25 ระบบ โดยแบ่งออกเป็นระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุที่ช่วยทั้งเรื่องระบบเบรก และช่วยรักษาเสถียรภาพในการขับขี่ จำนวน 14 ระบบ และระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) หรือระบบช่วยควบคุมการ ขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน 11 ระบบ 

สำหรับระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) ถือเป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระดับที่ 2 (Partial Automation) โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

กลุ่มระบบที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา RDA (Rear Drive Assist)

  • ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) 
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) 
  • ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) 
  • ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) 

กลุ่มระบบเตือนและควบคุมให้รถอยู่ในเลน LAS (Lane Assist System) 

  • ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) 
  • ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) 
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) 

กลุ่มระบบที่ช่วยในการขับขี่ FDA (Front Drive Assist) 

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) 
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) 
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) 
  • ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)

นอกจากนี้ยังมีกล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) และระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer

เพิ่มความหรูหราของการตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยสี 2-Tone Monaco Blue พร้อมวัสดุผิวสัมผัสนุ่มแบบ Soft Touch เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat โอบกระชับ ตกแต่งด้วยวัสดุ Alcantara เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง

ห้องโดยสารเงียบยิ่งขึ้นจากการเพิ่มฟิล์มกันเสียงและแผ่นซับเสียงภายในห้องโดยสาร หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) ขนาดใหญ่ 1.1 ตารางเมตร เพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง พร้อมเสริมความสะดวกสบายในการขับขี่ด้วยหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว และจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ 10 นิ้ว ระบบเสียงเหนือระดับด้วย BOSE 8.1 Sound System พร้อมสร้างบรรยากาศและสีสันให้กับการขับขี่ด้วย Interactive Ambient Light ที่สามารถปรับเฉดสีได้มากถึง 64 เฉดสี รวมถึงระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART รองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย

มีสีตัวถังทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาว Arctic White โดยมีสีภายในแบบ 2-Tone Monaco Blue  ในขณะที่ตัวถังสีแดง Scarlet Red และสีดำ Black Knight จะมาพร้อมการตกแต่งภายในสีดำ  ราคาจำหน่าย 1,359,000 บาท

สามารถชมรถตัวจริงได้ในงาน Fast Auto Show Thailand 2020 ระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายนนี้ ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา และที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีทั้ง 138 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม เป็นต้นไป

ข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ MG คลิ๊กที่นี่

Home
Please follow and like us:

Related Articles

Verified by MonsterInsights