ในสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมรถยนต์ อยู่ในภาวะที่ไม่ค่อยสดใสมากนัก ด้วยเพราะมีปัจจัยต่างๆ มากระทบมากมาย ผู้ผลิตรถยนต์จึงจำเป็นต้องพยายามหามาตรการต่างๆ มาเป็นตัวช่วยในการกระตุ้นตลาดรถยนต์ในเวลานี้

นี่คือ บทสัมภาษณ์ “ศุภกร รัตนวราหะ” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ โตโยต้า (Toyota) กล่าวไว้อย่างน่าสนใจ

หลังจากภาครัฐเตรียมออกนโยบายสนับสนุนการซื้อรถปิกอัพให้กับกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ซึ่งมี กระทรวงการคลังโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จะใช้มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ ผ่านโครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ของรัฐบาลครั้งนี้ คาดว่าช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์ให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เป็นการแก้ปัญหาตลาดรถกระบะได้ตรงจุด

รัฐบาลเองมองเห็นสภาวะตลาดรคาดถปิกอัพ ที่ตกลงค่อนข้างมากซึ่งหลักๆ มาจากการอนุมัติสินเชื่อ การแก้ปัญหาที่การอนุมัติสินเชื่อ เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด คาดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดรถปิกอัพได้เป็นอย่างดี และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ารถปิกอัพ ใช้ชิ้นส่วนในประเทศจำนวนมาก ปัจจุบันโตโยต้าใช้อยู่ 93 – 94% เพราะฉะนั้นเราจะมีส่วนช่วยเพิ่มการหมุนเวียนทางด้านเศรษฐกิจ เช่น ซัพพลายเออร์ การเพิ่มงานให้กับพนักงานในโรงงาน ซึ่งก็จะส่งผลให้มีกําลังซื้อที่แข็งแรงต่อไป ทั้งก่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน

โครงการนี้ เป็นนโยบายที่ผู้ผลิตรถยนต์ นําเสนอกับภาครัฐ ผ่าน JCC (หอการค้าญี่ปุ่น – กรุงเทพ) ในช่วงกลางปีที่แล้ว ต้องขอบคุณภาครัฐที่มีนโยบายลักษณะนี้

โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ที่รัฐบาลอยู่ระหว่างการศึกษา เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นำเสนอภาครัฐ เพราะช่วยลดปัญหาฝุ่น PM.2.5 และเป็นการกระตุ้นความต้องการของรถใหม่ได้ ซึ่งถือว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยมีสัดส่วน 10% ของ GDP โดยปัจจุบันนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาความคุ้มค่า

ส่วนผู้บริโภคจะนำรถเก่ามาแลกซื้อรถใหม่ ที่มีเทคโนโลยีอะไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกค้า ที่ไม่ควรถูกบังคับด้วยข้อกำหนดใดๆ หากแต่ทั้งหมดนี้ รัฐบาลจะต้องใช้เงินของประชาชน ฉะนั้น ประเทศชาติควรจะได้รับประโยชน์ด้วย และสำหรับรถที่ประกอบในประเทศไทย และสิทธิประโยชน์ไม่ควรซ้ำซ้อนกัน ก็จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ ทางโตโยต้ามองว่าไม่มีปัญหาครับ

สำหรับความแตกต่างกับนโยบายรถคันแรก มีความแตกต่างทางด้านกลไกพอสมควร โดยโครงการรถคันแรกลูกค้าซื้อรถไปก่อน ทำการจดทะเบียน แล้วจึงรับเงิน 100,000 บาท จากทางรัฐบาล ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจนำเงินไปใช้อย่างอื่น ไม่ได้เอาไปผ่อนรถต่อเอา ทำให้หนี้ยังคงอยู่ แต่ว่าโปรแกรมแลกรถใหม่ จะเริ่มตั้งแต่ การนำรถไปเทรดอิน ก็คือเอารถเข้ามาได้เงินไปแล้วก็ไปซื้อรถใหม่ มันก็คือหักมูลค่ารถใหม่ จากมูลค่าหนี้ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะฉะนั้น โอกาสที่ลูกค้าจะเป็นหนี้เสียจะน้อยลง

มองว่าเป็นหนี้ที่จะช่วยก่อให้เกิดรายได้ เพราะเป็นการสนับสนุนรถปิกอัพ ซึ่งเป็นรถเพื่อการใช้งาน และลูกค้าก็นำรถไปใช้ทำมาหากิน เชื่อว่าลูกค้าหลายคนที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อหลายรายมีงานรออยู่ จึงมีความต้องการซื้อรถ เมื่อไม่สามารถซื้อรถได้ ก็ไม่มีการเกิดงาน นอกจากนี้ มันไม่ใช่การซื้อรถฟุ่มเฟือย
ต้องขอขอบคุณภาครัฐ ที่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งอาจไม่ได้มีผลกับอัตราดอกเบี้ยรถยนต์มากนัก แต่มีผลกับกําลังซื้อ และยอดหนี้ลูกค้า พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อดอกเบี้ยลดลง ลูกค้าก็ภาระหนี้ลดลง ก็ทำให้มีกําลังที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่วนจะขยายไปรถประเภทอื่นอีกหรือไม่นั้น เบื้องต้น พูดคุยกับรัฐบาลด้วยความระมัดระวัง เริ่มที่กลุ่ม SME ก่อน เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ใช้รถเพื่อหาเงินทำธุรกิจ จากนั้นดูว่าหากเป็นไปได้ดี แล้วหนี้ที่เสียไม่เกินจากที่คาดไว้ มีโอกาสขยายต่อ ขึ้นอยู่กับทางภาครัฐพิจารณาอีกที
ในสถานการณ์ปกติ ยอดปฏิเสธสินเชื่อรถกระบะอยู่ที่ประมาณ 12% – 15% แต่ปีที่ผ่านมา อัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 30-40% ฉะนั้นเราก็มองว่า นโยบายนี้จะช่วยให้เรามีจะมียอดขายเพิ่มขึ้นที่ประมาณ 15-20%

คาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์ไทยที่ประมาณ 600,000 คัน หากเราเทียบยอดขายรถในเดือน ม.ค. – ก.พ. ปีนี้ แม้จะลดลงที่ประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
แต่หากเทียบกับไตรมาสที่ 3 และ 4 ถือว่าเริ่มเห็นเทรนด์ที่ดีขึ้น ยอดขายเดือนมกราคมปีที่แล้ว กับเดือนธันวาคม ปี 2566 ยอดขายลดลง 25% แต่ในปีนี้ยังลดลงไม่ถึง 25% ถือได้ว่าเป็นแนวโน้มที่ดีขึ้น
ปีนี้โตโยต้าตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 230,000 คัน โดยยังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 38.5% เท่ากับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม 2 เดือนแรกของปีนี้ ทำได้ใกล้เคียงปีที่ผ่านมา โดยอยู่ที่มากกว่า 37% โดยรถยนต์กลุ่มไฮบริด หรือ HEV มียอดขายเติบโตขึ้นอย่างมาก

โตโยต้ามียอดขายในกลุ่ม HEV เป็นอันดับ 1 เพราะลูกค้ามีความเชื่อมั่นเทคโนโลยี HEV ที่โตโยต้าพิสูจน์มาแล้วด้วยการทำตลาดรายแรกเป็นเวลากว่า 10 ปี ไม่ว่าจะเรื่องความทนทาน ความประหยัด อีกทั้งยังมีความพร้อมด้านบริการ ศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ ช่างเทคนิคมีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์สูง ทั้งหมดนี้ทำให้ HEV ของโตโยต้า เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในใจลูกค้า

อย่างไรก็ตาม โตโยต้ามองว่าการเป็นเจ้าของรถยนต์ 1 คันของลูกค้า ไม่ใช่แค่การซื้อรถแล้วจบ ต้องดูแลลูกค้าให้ครอบคลุมทั้งการดูแลรักษา และความสบายใจในการใช้งาน โดยให้ความสำคัญไม่ต่างจากการซื้อรถใหม่เทียบ เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่า และเมื่อต้องกาาขายต่อก็ยังมีมูลค่า เป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีตลอดอายุการใช้งาน

เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจรถยนต์ HEV ของโตโยต้า จนทำให้มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในตลาดเมื่อปีที่แล้ว จึงได้จัดแคมเปญพิเศษ เพื่อเป็นการขอขอบคุณลูกค้าที่เลือกเป็นเจ้าของเทคโนโลยี HEV ของโตโยต้าโดยเฉพาะ
และภายในปีนี้เทคโนโลยี HEV จะมีครอบคลุมในรถยนต์โตโยต้าทุกรุ่น เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า เพราะมีความมั่นใจว่าโซลูชั่นที่ดีที่สุด ของตลาดรถยนต์ในประเทศไทยวันนี้คือ HEV
ข่าวที่น่าสนใจอื่นๆเกี่ยวกับ โตโยต้า คลิกที่นี่
Youtube